Blog

ยาคลายกล้ามเนื้อ กับ ยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อ ต่างกันอย่างไร?

ยาคลายกล้ามเนื้อ กับ ยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อ ต่างกันอย่างไร?


1 minute read

Listen to article
Audio is generated by AI and may have slight pronunciation nuances.

Table of Contents

การใช้ยารักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ หรือ อักเสบกล้ามเนื้อ เป็นสิ่งที่พบได้บ่อย ใช้ยานวดแก้ปวดคลายกล้ามเนื้อ เจ็บ หรือตึงตัวของกล้ามเนื้อ จากการเล่นกีฬา การทำงาน หรือโรคบางอย่าง โดยมีทั้งตัวยาที่หาซื้อได้เองตามร้านขายยาโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ (over-the-counter) และยาที่ต้องได้รับการสั่งจ่ายโดยแพทย์

หลายคนอาจสับสนระหว่าง “ยาคลายกล้ามเนื้อ” กับ “ยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อ” ซึ่งทั้งสองประเภทนี้มีวัตถุประสงค์และกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน บทความนี้จะอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างยาทั้งสองประเภทนี้ รวมถึงการใช้งานและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

คลายกล้ามเนื้อ

ยาคลายกล้ามเนื้อ กับ ยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อ ต่างกันอย่างไร?

ยาคลายกล้ามเนื้อ 
(Muscle Relaxants)

ยาคลายกล้ามเนื้อเป็นกลุ่มยาที่มักต้องถูกสั่งจ่ายโดยแพทย์ เมื่อรับประทานจะมีผลทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและลดอาการตึงเครียดลง ยาคลายกล้ามเนื้อถูกออกแบบมาเพื่อบรรเทาอาการเกร็งกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อุบัติเหตุ, การออกกำลังกายหนักเกินไป, หรือการอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน

กลไกการทำงาน

ยาคลายกล้ามเนื้อจะไม่ออกฤทธิ์โดยตรงต่อกล้ามเนื้อ แต่จะออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง (CNS) ยับยั้งการส่งสัญญาณประสาทที่ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและลดความเจ็บปวด

การใช้งาน :

ยาคลายกล้ามเนื้อเหล่านี้ไม่ใช่ทางเลือกแรกสำหรับรักษาอาการปวดหรือหดเกร็งกล้ามเนื้อ  มักใช้เป็นยาลำดับสองหลังจากที่ยาลำดับแรก เช่น พาราเซตามอล หรือ NSAIDs ไม่ได้ผล โดยใช้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อบรรเทาอาการ เช่น การปวดหลังส่วนล่าง, การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา, หรืออาการกล้ามเนื้อเกร็งที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรัง

ตัวอย่างยาคลายกล้ามเนื้อ :

  • บาโคลเฟน (Baclofen)
  • คาร์ริโซโพรดอล (Carisoprodol)
  • ไดอะซีแพม (Diazepam)

ผลข้างเคียง :

เนื่องจากยาจะไปกดการทำงานของระบบประสาทจึงอาจมีผลข้างเคียง เช่น ง่วงนอน มึนงง ปากแห้ง วิงเวียนศีรษะ และอาการตาพร่ามัว หลังการใช้ยาผู้ใช้ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิหรือการตัดสินใจ เช่น การขับรถ หรือใช้เครื่องจักรกลหนัก

ยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อ 
(Anti-inflammatory Drugs)

เนื่องจากอาการอักเสบเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดบ่อยครั้ง ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์์ (NSAIDs; Nonsteroidal Anti-Inflammatory Drugs) จึงมักถูกใช้เป็นทางเลือกในการรักษาอาการอักเสบและอาการปวดที่เกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ

NSAIDs มีหลายประเภท เช่น ยาที่สามารถหาซื้อได้เอง และยาที่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ โดยมีทั้งรูปแบบ ‘ยากิน’ และ ‘ยาทา’ ขึ้นอยู่กับอาการและเป้าหมายของการรักษา

กลไกการทำงาน :

ยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อทำงานโดยการลดระดับโปรตีนที่ทำให้เกิดการอักเสบ รวมถึงยับยั้งเอนไซม์ที่เรียกว่า ไซโคลออกซิจีเนส (Cyclooxygenase หรือ COX) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทในการสร้างสารโปรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ที่ทำให้เกิดการอักเสบและความเจ็บปวด

การใช้งาน :

ยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อมักถูกใช้ในการรักษาอาการอักเสบและปวดจากโรคต่าง ๆ เช่น โรคข้ออักเสบ (Arthritis), เส้นเอ็นอักเสบ (Tendinitis) การบาดเจ็บจากกีฬา, และอาการปวดเรื้อรัง

ตัวอย่างยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อ :

ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), นาพรอกเซน (Naproxen), แอสไพริน (Aspirin), เซเลโคซิบ (Celecoxib)

ผลข้างเคียง :

ยา NSAIDs ในรูปแบบรับประทานมีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการปวดท้อง, แผลในกระเพาะอาหาร, เลือดออกในกระเพาะอาหาร, และปัญหาเกี่ยวกับไต ผู้ใช้ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และไม่ใช้ยาเกินขนาดที่แนะนำ

การใช้ยาร่วมกัน

ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาคลายกล้ามเนื้อร่วมกับยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อ เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น การบรรเทาอาการปวดหลังที่มีการอักเสบและเกร็งของกล้ามเนื้อ การใช้ยาสองประเภทนี้ร่วมกันสามารถช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้นและสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การใช้ยาร่วมกันควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากการใช้ยาหลายประเภทพร้อมกันอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงและปฏิกิริยาระหว่างยา

สรุป

ยาคลายกล้ามเนื้อ และ ยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อ เป็นยาที่ใช้ในการบรรเทาอาการปวดและอักเสบของกล้ามเนื้อ แม้ว่าทั้งสองประเภทนี้จะมีจุดประสงค์และกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน แต่การใช้ร่วมกันในบางกรณีอาจช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา

การเข้าใจความแตกต่างและการใช้งานของยาทั้งสองประเภทนี้จะช่วยให้ประชาชนสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างเหมาะสม และลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา

แหล่งอ้างอิง

#ลดปวดเข่า #เข่าเสื่อม #ข้อต่อ #ครีมทาแก้ปวด #ยาแก้ปวด



« Back to Blog